หลักการและเหตุผล
                        
                            
โรคมะเร็งเป็นปัญหาสำคัญอันดับต้นต่อระบบสาธารณสุขของทั่วโลก ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิตและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ องค์การอนามัยโลกประมาณการณ์ว่าในช่วงปี 2007-2030 จะมีผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 7.9 ล้านคน เป็น 11.5 ล้านคน และมีผู้ป่วยใหม่โรคมะเร็งทั่วโลกเพิ่มขึ้นจาก 11.3 ล้านคน เป็น 15.5 ล้านคน สำหรับประเทศไทยพบว่าในแต่ละปีจะพบผู้ป่วยมะเร็งเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 64,000 รายต่อปี และมีการเสียชีวิตปีละประมาณ 30,000 ราย ปัจจุบันพบว่าโรคมะเร็งเป็นสาเหตุการตายอันดับแรกสูงกว่าโรคหัวใจและอุบัติเหตุติดต่อกันมาหลายปีและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี
การรักษาโรคมะเร็งแบ่งออกได้ 3 ชนิดได้แก่ การผ่าตัด (Surgery) การฉายรังสี (Radiotherapy) และการให้ยาเคมีบำบัด (Chemotherapy) ซึ่งได้มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โรคมะเร็งหลายชนิดสามารถรักษาให้หายขาดหรือยับยั้งการดำเนินของโรคไม่ให้ลุกลามได้ แต่การตัดสินใจให้การรักษานั้นก็ขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาวะของผู้ป่วยเป็นสำคัญ เป็นเหตุให้มีการปรับแนวทางการรักษาผู้ป่วยมะเร็งจากเดิมที่มุ่งเน้นรักษาเฉพาะตัวโรค (disease-focus approach) เป็นการมุ่งเน้นที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย (patient-focus approach) โดยรวมการรักษาแบบสนับสนุน (supportive care) เพื่อลดหรือป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการรักษาเป็นส่วนหนึ่งในการรักษาโรคมะเร็งด้วย
การรักษาด้วยยาเคมีบำบัดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ใช้ในการรักษามะเร็งซึ่งมีการใช้กันอย่างแพร่หลายทั้งการใช้เป็นการรักษาหลักหรือร่วมกับการรักษาวิธีอื่นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ยาเคมีบำบัดเป็นยาที่มีอันตรายต่อเซลล์ มีช่วงการรักษาที่แคบ (narrow therapeutic) และมีการให้ยาที่ยุ่งยากซับซ้อน จึงมีโอกาสในการเกิดปัญหาจากการใช้ยา (drug-related problem, DRP) ได้ง่าย โดยเฉพาะการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา (adverse drug reaction) ที่สามารถเกิดได้แม้ว่าระดับยาอยู่ในช่วงการรักษา การศึกษาพบว่าอุบัติการณ์การเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาสูงถึงร้อยละ 74.3 โดยที่อาการไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นนี้ร้อยละ 88 สามารถทำนายการเกิดได้และร้อยละ 47.8 สามารถป้องกันได้ เภสัชกรจึงมีหน้าที่สำคัญในงานบริการเภสัชกรรม ซึ่งได้แก่ การเตรียมยาเคมีบำบัด หรือยาที่มีพิษต่อเซลล์ซึ่งเป็นภารกิจหนึ่งที่สำคัญและอยู่ในความรับผิดชอบของกลุ่มงานเภสัชกรรมโดยมีหน้าที่จัดหาเตรียมยาและเก็บรักษายาให้ได้คุณภาพ เพื่อผู้ป่วยเฉพาะราย และนอกจากนี้เภสัชกรยังมีบทบาทในการให้บริบาลทางเภสัชกรรมโดยมุ่งที่จะให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยสูงสุด ทั้งนี้โดยยึดถือคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยเป็นหลักสำคัญ
ด้วยความตระหนักในความสำคัญของบทบาทเภสัชกรดังกล่าวในการดูแลผู้ป่วยมะเร็ง คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับฝ่ายเภสัชกรรม โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ และ หน่วยมะเร็งวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้เล็งเห็นความสำคัญของเภสัชกรที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจและมีความชำนาญ ในการบริบาลทางเภสัชกรรมนอกเหนือจากหน้าที่ในการเตรียมยาเคมีบำบัดดังที่กล่าวมาในข้างต้น จึงได้ร่วมมือจัดทำหลักสูตรการฝึกอบรมระยะสั้นการบริบาลทางเภสัชกรรม สาขาผู้ป่วยมะเร็ง เป็นหลักสูตรภาคปฏิบัติ 16 สัปดาห์ โดยมีเนื้อหาทางทฤษฎีสอดแทรกตลอดระยะของการฝึกปฏิบัติงาน ในการฝึกปฏิบัติงานบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยโรคมะเร็ง และกำหนดให้เภสัชกรฝึกปฏิบัติงาน ณ หอผู้ป่วยเคมีบำบัด และคลินิกผู้ป่วยนอกสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่หลักในการบริบาลผู้ป่วยที่ได้รับยาเคมีบำบัด โดยเภสัชกรจะได้มีโอกาสปฏิบัติงานร่วมกับสหสาขาวิชาชีพที่มีความชำนาญในการบริบาลผู้ป่วย
ระยะเวลาของการฝึกปฏิบัติงานเภสัชกรรมคลินิกบนหอผู้ป่วยเคมีบำบัด และคลินิกผู้ป่วยนอกสำหรับผู้ป่วยมะเร็ง รวมทั้งสิ้น 16 สัปดาห์ โดยมีอาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ เป็นผู้กำกับอย่างใกล้ชิด การฝึกปฏิบัติวิชาชีพจะเน้นเรื่องกลไกการเกิดโรคและการบริบาลด้วยยาเคมีบำบัด โดยใช้กิจกรรม Pharmacotherapy Consultation และ Drug Information Services เป็นกลไกหลักในการเรียนการสอน เภสัชกรมีโอกาสที่จะทำวิจัย (Research Projects) ให้ความรู้ด้านยา (In-service) แก่บุคลากรทางการแพทย์อื่น ๆ เช่น แพทย์ และ พยาบาล ตลอดจนการใช้ Evidence-Based Medicine มาประยุกต์ใช้กับผู้ป่วย หลักสูตรนี้เน้นถึงการทำให้ผู้เข้าอบรมเข้าใจถึงหลักการทั้งทางภาคทฤษฎี และปฏิบัติเพื่อที่จะสามารถนำไปปฏิบัติตลอดจนริเริ่มการบริบาลทางเภสัชกรรมได้จริงเมื่อจบหลักสูตรการอบรม
                        
                        เนื้อหาของหลักสูตร
                        
                            
หลักสูตรการฝึกอบรมระยะสั้นการบริบาลทางเภสัชกรรม สาขาผู้ป่วยมะเร็ง เป็นหลักสูตรเพื่อการรับรองสมรรถนะและเพื่อการเก็บสะสมหน่วยกิต มีระยะเวลาการเรียนรู้รวมจำนวน 450 ชั่วโมง ประกอบด้วยการสอนภาคทฤษฎีโดยการบรรยายจำนวน 30 ชั่วโมง และการฝึกปฏิบัติในโรงพยาบาลจำนวน 420 ชั่วโมง
ผู้เรียนสามารถเก็บสะสมหน่วยกิตได้ 8 หน่วยกิต จาก 3 กระบวนวิชา ดังต่อไปนี้
- กระบวนวิชา 452744 เภสัชกรรมคลินิกภาคปฏิบัติระดับบัณฑิตศึกษา 1 (3 หน่วยกิต)
 
- กระบวนวิชา 452745 เภสัชกรรมคลินิกภาคปฏิบัติระดับบัณฑิตศึกษา 2 (3 หน่วยกิต)
 
- กระบวนวิชา 452779 หัวข้อเลือกสรรทางเภสัชศาสตร์ (2 หน่วยกิต)
 
โดย 3 กระบวนวิชานี้บรรจุอยู่ในหลักสูตรเภสัชศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเภสัชกรรมคลินิก ซึ่งจัดอยู่ในกระบวนวิชาเลือกในสาขาวิชา รายละเอียดของรายวิชา (มคอ. 3) ดังเอกสารแนบท้าย
รายละเอียดการฝึกอบรม
1. ภาคทฤษฎี การบรรยาย 30 ชั่วโมง โดยมีการบรรยายครอบคลุมเนื้อหาดังต่อไปนี้
| หัวข้อการบรรยาย | 
ชั่วโมง | 
วิทยากรบรรยาย | 
1. ระบบการให้บริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยในและผู้ป่วยโรคมะเร็ง 
- ขั้นตอนการให้บริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยในและผู้ป่วยโรคมะเร็ง
 
- ระบบการติดตามและส่งต่อการให้บริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยในและผู้ป่วยโรคมะเร็ง
 
- ระบบสารสนเทศและฐานข้อมูลเพื่อการบันทึกกิจกรรมและภาระงานในการบริบาลทาง
 เภสัชกรรมในผู้ป่วยในและผู้ป่วยโรคมะเร็ง 
 
 | 
3 | 
 - ภก.ธนพงศ์ ชัยณกุล  - ภญ.วิฬารัตน์ ไสยรัตน์  - ภญ.จารุกมล คันธวงศ์ | 
2. ยาต้านอาเจียน ยาป้องกันและรักษาอาการแพ้ระหว่างได้รับยารักษาโรคมะเร็ง  ยากระตุ้นเม็ดเลือดขาว | 
3 | 
 - ผศ.ดร.ภญ.บันฑิตาภรณ์ ศิริจันทร์ชื่น | 
3. ยาบรรเทาปวด การรักษาเพื่อประคับประคองและบรรเทาอาการของผู้ป่วยใน ระยะท้ายของชีวิต | 
3 | 
 - อ.ภก.จักรพันธ์ อยู่ดี | 
| 4. เภสัชบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งเต้านม | 
3 | 
 - อ.ภก.จักรพันธ์ อยู่ดี | 
| 5. เภสัชบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งระบบสืบพันธุ์สตรี | 
3 | 
 - อ.ภก.จักรพันธ์ อยู่ดี | 
| 6. เภสัชบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งศีรษะและคอ | 
3 | 
 - อ.ภก.จักรพันธ์ อยู่ดี | 
| 7. เภสัชบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งปอด | 
3 | 
 - ผศ.ดร.ภญ.บันฑิตาภรณ์ ศิริจันทร์ชื่น | 
| 8. เภสัชบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งระบบทางเดินอาหาร | 
3 | 
 - ผศ.ดร.ภญ. นราวดี เนียมหุ่น | 
| 9. เภสัชบำบัดในผู้ป่วยมะเร็งอัณฑะ มะเร็งต่อมลูกหมาก | 
3 | 
 - อ.ภก.จักรพันธ์ อยู่ดี | 
10. การพัฒนาคุณภาพการบริบาลทางเภสัชกรรมในผู้ป่วยมะเร็งผ่านกระบวนการ ทำงานวิจัยจากงานประจำ | 
3 | 
 - อ.ภก.จักรพันธ์ อยู่ดี  - ผศ.ดร.ภญ.บันฑิตาภรณ์ ศิริจันทร์ชื่น  - ผศ.ดร.ภญ. นราวดี เนียมหุ่น  - ภญ.จารุกมล คันธวงศ์ | 
| รวมจำนวนชั่วโมง | 
30 | 
  | 
2. ภาคปฏิบัติ  ฝึกปฏิบัติงาน 420 ชั่วโมง เป็นการให้บริบาลผู้ป่วยจริงควบคู่ไปกับการเรียนภาคทฤษฎี ณ หอผู้ป่วยเคมีบำบัด โรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ โดยกิจกรรมประจำวัน รายละเอียดดังนี้
| เวลา | 
กิจกรรม | 
| 08.00 - 09.00 น. | 
ทบทวนข้อมูลผู้ป่วยประจำวัน | 
| 09.00 - 12.00 น. | 
ตรวจเยี่ยมผู้ป่วยข้างเตียงร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ (ward round) ร่วมกับกิจกรรมการให้บริบาลทางเภสัชกรรมดังนี้ 
- จัดทำการประสานรายการยา (medication reconciliation) ในผู้ป่วยที่รับใหม่
 
- ให้คำแนะนำปรึกษาการใช้ยาแก่ผู้ป่วยและผู้ป่วยกลับบ้านข้างเตียง (drug counselling)
 
- ประเมินและจัดทำเอกสารสำหรับผู้ป่วยที่เกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยา (adverse drug reaction)
 
- บริการข้อมูลทางยาแก่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ (drug information service)
 
 
 | 
| 13.00 - 16.00 น. | 
อภิปรายกรณีศึกษากับอาจารย์ประจำแหล่งฝึกร่วมกับดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนตามที่กำหนด ได้แก่ 
- การเรียนการสอนภาคทฤษฎี
 
- นำเสนอกรณีศึกษาจำนวน 4 ครั้ง (เดือนละ 1 ครั้ง)
 
- นำเสนอการวิพากษ์วรรณกรรมปฐมภูมิ จำนวน 4 ครั้ง (เดือนละ 1 ครั้ง)
 
- ให้ความรู้บุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 4 ครั้ง (เดือนละ 1 ครั้ง)
 
 
 | 
ในช่วง 4 สัปดาห์สุดท้าย ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะต้องเขียนโครงร่างงานบริบาลทางเภสัชกรรม เพื่อนำเสนอก่อนการดำเนินโครงการจริง ณ หน่วยงานต้นสังกัด
หมายเหตุ
- หลักสูตรนี้มีระยะเวลาการฝึกอบรม 16 สัปดาห์ โดยเนื้อหาการอบรมทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติเทียบเท่าได้กับหน่วยกิตของวิทยาลัยเภสัชบำบัดแห่งประเทศไทย จำนวน 16 หน่วยกิต โดยแบ่งเป็น ภาคทฤษฎี 2 หน่วยกิต (หน่วยกิตละ 15 ชั่วโมง) และภาคปฏิบัติ 14 หน่วยกิต (หน่วยกิตละ 30 ชั่วโมง)
 
- ผู้เรียนสามารถเก็บสะสมหน่วยกิตต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์ (Continuing Pharmacy Education, CPE) ของศูนย์การศึกษาต่อเนื่องทางเภสัชศาสตร์ สภาเภสัชกรรม ได้จำนวน 30 หน่วยกิต ในส่วนของภาคทฤษฎีโดยการบรรยาย 36 ชั่วโมง